ค้นหาข้อมูลทั่วโลก

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนาว....จัง

หนาวเหน็บลึกจับขั้ว หัวใจ
หนาวนอกพอกันใช้ ผ้าห่ม
หนาวเนื้อห่มเนื้อให้ หายหนาว
หนาวไร้คู่ขื่นขม ระทมจมหนาว
หนาวร้าวใจผิดหวัง ปวดร้าว
หนาวเหงาเศร้าบางคราว ทนได้
หนาวลมพัดฤดูหนาว ทานไหว
หนาวสะกิดขั้วหัวใจ หนาว...หนาว..หนาว...หนาว
หนาวเจ้าหนี้ทวงเงิน ร้อนผ่าว
หนาวแอร์เย็นปิดวาว ผ่อนคลาย
หนาวแพ้ไม่ยืนยาว อาจชนะ
หนาวบ่หยุดเสน่ห์หาย ห่างเศร้าครวญหา
หนาวยาใจคนไกล ห่างตา
หนาวคนใกล้แ่ค่วา ตีจาก
หนาวเชยชิดเสน่หา ห้ามใจ
หนาวคนรักพลัดพราก ไม่หวนกลับคืน
หนาวปืนศัตรูจ่อ ที่หัว
หนาวคืนหอนหวาดกลัว ผีร้าย
หนาวไข้จับสั่นทั่ว ตัวร้อน
หนาวระทึกศึกตาย ต่อสู้สงคราม
หนาวหนามทิ่มแทงใจ ให้โกรธ
หนาวคืนวันหฤโหด เข่นฆ่า
หนาวใกล้คนชั่วโฉด โหดร้าย
หนาวกิเลสตัณหา ยิ่งกว่าหนาวใด..
<จักรัฐิเมธ>

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผู้สร้าง และผู้ทำลาย

บางผู้สร้างบางผู้ ทำลาย
บางผู้ก่อการร้าย แบ่งแยก
บางผู้เป็นหนึ่งคล้าย คลึงกัน
ทั้งสร้างทำลายแหลก ก่อเหตุเภทภัย
ผู้สร้างดีก่อดี สุขให้
ผู้สร้างชั่วบรรลัย แน่แท้
ผู้ทำลายโลกไหม้ ย่อยยับ
สองมือมนุษย์แย่ ทั้งสร้าง ทำลาย
<จักรัฐิเมธ>

ผู้ทำลาย

อาวุธร้ายเหล่าใด ว่าร้าย
ใช่ปืนผาหน้าไม้ ร้ายกว่า
ความคิดหลงผิดคล้าย ดิ่งเหว
คืออาวุธชั่วช้า ก่อฆ่าทำลาย
เชื้อร้ายไวรัสใด ว่าร้าย
ก่อโรคแพร่กระจาย ระบาด
อาจยับยั้งรั้งตาย ด้วยยา
แต่ความคิดอุบาทว์ ยากแท้หยุดยั้ง
( จักรัฐิเมธ...หัดแต่งโคลง 4 )

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นกน้อยนักสู้ชีวิต (กลอนกวี)

ถึงนกน้อย ปล่อยทิ้งรัง รั้งสร้างใหม่
มิย่อท้อ หัวใจ อาลัยฝัง
กับรังเก่า เนารกร้าง ห่างคู่ฟัง
แจ้วเสียงดัง แต่วังเวงแผ่ว แป้วหัวใจ
จึงส่งเสียง เจือยแจ้ว แอ่วหาคู่
แม่โฉมตรู กู่ขับขาน หวานที่ไหน
มารวมผิง อิงแอบ แนบอุ่นไอ
ในรังใหม่ ไว้ร่วมฝัน กันสองเรา
จงลืมเศร้า เคล้าคลอทุกข์ คลุกในอก
ลืมนรก ความหลัง พังพ่ายเศร้า
เหมือนนกน้อย บินจากรัง ทิ้งรังเนา
โบยบินเคล้า คลอนภา สู้ฟ้าฝัน
สายลมพลิ้ว หวิวไหว ให้หวั่นหวาด
แต่นกน้อย ฉกาจผงาด มิหวาดหวั่น
ปีกน้อยน้อย ค่อยค่อยแผ่ ลู่ลมลั่น
โผนผ่อนผัน ต้องตามลม ล่องระเริง
เหมือนดังเจอ มรสุม รุมทำลาย
หรือแพ้พ่าย ขวัญหวั่นหนี ลี้กระเจิง
จึงควรอาจหาญกล้า หาชั้นเชิง
เล่นระเริง โลมหลอกล่อ พอประมาณ
ค่อยคิดการ ทานกระแส อย่าแพ้พ่าย
ด้วยแรงกาย ใจสู้ กู้อาจหาญ
มีอุปสรรค ขวากหนาม กลางกั้นกราน
ไร้เทียมทาน หากฟันฝ่า..กล้าเผชิญ.
<จักรัฐิเมธ>

อย่าท้อใจ..(กลอนกวี)

อย่าได้ท้อ...เมื่อใจรู้สึกท้อ
อย่าได้ง้อ...แค่สิ่งที่ผิดหวัง
อย่าร้องให้...สงสารใจที่พ่ายพัง
อย่ามัวนั่ง....เศร้าใจได้อะไร...
อย่ามัวโกรธ...โทษตัวเองที่หลงผิด
ควรเปลี่ยนทิศ...ทางเดินแล้วเริ่มใหม่
สิ่งไม่ดี..เลวร้าย ..ให้หายไป
ควรอภัย...ให้ใจอย่าซ้ำเติม..
เจ็บคือเจ็บยอมรับว่าควรเจ็บ..
แต่ควรเก็บเป็นบทเรียนตำราเสริม
อย่าผิดพลาดพลั้งอีกครั้งซ้ำรอยเดิม
แต่ควรเพิ่ม...เสริมกำลังใจ..อย่าได้ท้อ...
<จักรัฐิเม>

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฤดูใบไม้ร่วง

ใบไม้เริ่มแห้งกรัง
กำลังจะโรยร่วง
สลัดขั้วอย่างหมดห่วง
แล้วค่อยร่วงสู่พื้นดิน
ใบแล้วและใบเล่า
ทิ้งก้านเก่าจนหมดสิ้น
เหลือเพียงต้นกิ่งอยู่รวยริน
รอพังภินท์ล้มสิ้นตาม
บางต้นยืนทนสู้..
ผ่านฤดู..เพื่องอกงาม
ผลิใบใหม่..น่าเกรงขาม
กลับงดงามยิ่งกว่าเดิม..
<จักรัฐิเมธ>

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฟ้าหลังฝน

เมฆดำระบายสี
โปรยวารีจากธารฟ้า
รินหลั่งรดพสุธา
มอบชีวาชุบชีวี
ที่เหี่ยวเฉาเฝ้ารอน้ำ
กลับเย็นช่ำชื่นวารี
บางร้องเล่นดนตรี
สุขฤดีตามประสา..
ฝนตกหนัก..อยู่พักใหญ่
ฟ้าสดใส..ค่อยเปลี่ยนมา
สายรุ้งวาดผ่านฟ้า
สะดุดตาคราได้ยล
เขียนภาพฝันเนรมิต
ช่างประดิษฐ์ฟ้าหลังฝน
คลายความเหงาเศร้ากมล
พัดผ่านพ้นหลังฝนพรำ...
<จักรัฐิเมธ>

Don' t Cry (อย่าร้องให้)



ห้วงเหวลึกดูน่ากลัวสักเพียงใด
ป่าช้าความตายทิ้งซากไว้ให้ดูน่ากลัว
ในถ้ำมืดมิดที่ไร้แม้แสงสลัว
แต่ใจคนที่มืดมัว....คงยิ่งน่ากลัวกว่านั้น
เหมือนใจใครสักคน...สับสน..หนทาง
โดดเดี่ยวอ้างว้าง..หัวใจไหวหวั่น
เหมือนดิ่งลงเหว..ตกขุมนรกโลกันต์
อยู่อย่างหนาวสั่น..ในคืนที่วันมืดมัว
อยากบอกกับใจใคร..คนนั้น
จงลืมวัน..อันแสนโหดร้ายน่ากลัว
อย่าร้องให้...ทำร้ายจิตใจเกินตัว
จงฝ่าวันสลัว..เมฆหมอกหนาว..ถึงคราวก็จาง..
<จักรัฐิเมธ..>

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มอบแด่ทุกแรงใจ

<แรงใจ..แรงสู้>
เพราะมีแรงใจ ทำให้จึงมีแรงสู้
เพราะมีเธออยู่ จึงรู้ว่ามีแรงใจ
เพราะมีรอยยิ้ม เติมอิ่ม จากคนห่วงใย
คอยซับเหงื่อไหล ส่งใจ ส่งยิ้มคอยเชียร์
จากคนที่ไม่เคยสู้...ยอมแพ้ศัตรูง่ายง่าย
หมดสิ้นเชิงชาย น่าอาย เมื่อใจสูญเสีย
ต่อเมื่อมี..เธอรักษาหัวใจอ่อนเพลีย
เติมแรงคอยเชียร์ ใส่เกียร์หัวใจให้แรง
<จักรัฐิเมธ>

มึงและกู..สุดท้ายไม่มีกูและมึง (กวีชีวิต)

ยังมีดวงตาที่ฟ่าฟาง
ยังมีหัวใจอ้างว้างในโลกเหงา
ยังมีใบหน้าที่ซึมเศร้า
น้ำตาคลอเบ้า..อยู่เดียวดาย..
ยังมีชีวิตที่อาภัพ
สะดุ้งยามหลับ..พิการกาย
ยังมีความหิว...แสนกระหาย
ยังมีความตาย...มาเยือนทุกวี่วัน
ยังมีนรก...ในโลกแสนโสมม
ต่างชอบข่มเหงรังแกเข่นฆ่ากัน
ชอบมัวเมาอบายมุข..การพนัน
ต่างเพ้อรำพัน....ว่าของกู..ของกู..
ตัวกู..ของกู ใช่ของมึง
มึงอย่ามา..รำพึง..กูไม่รู้
เวลามึงตายกูรู้อยู่
ทั้งมึงและกู...สุดท้ายไม่มีกูและมึง..(จบ)
<จักรัฐิเมธ>

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปลายฝนต้นหนาว


สายลมเริ่มพัดแรง แสงแดดจางเคล้าเมฆฝน
ลมหนาวพัดเวียนวน ผ่านหน้าต่างอย่างตั้งใจ
ผ้าห่มผืนน้อยคลี่คลุ่มร่าง รอสว่าง..อยู่หวั่นไหว
นี้ใกล้ถึงฤดูหนาวร้าวหัวใจ..จะฝ่าไปอีกสักที..
(จักรัฐิเมธ)

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เหตุแห่งรัก 2 ประการ


อันความรักประจักษ์เหตุสองประการ
หนึ่งวันวานปางก่อนเคยผูกรัก
สองปัจจุบันเกื้อหนุนกันเฝ้าฟูมฟัก
ปลูกต้นรักออกดอกบานสานสัมพันธ์
เช่นดอกบัวช่องามยามกำเนิด
เพราะอาศัยแดนเกิด สองคู่มั่น
คือหนึ่งน้ำ สองโคนตมบรรจบกัน
สานสัมพันธ์ก่อกำเนิดเกิดดอกบัว....
<จักรัฐิเมธ.>

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

มนต์สำเร็จ

โอม..วิชาตำราอิทธิบาท
ฉันทะประสาทประสิทธิใจ
วิริยะตะปะเพียรไม่หวั่นไหว
จิตตะใฝ่วิมังสามาทันการณ์
ประสิทธิ มัง ยังประโยชน์โชติผล
สำเร็จเจตน์บันดล..ดังคำขาน
อิทธิบาทเครื่องสำเร็จกิจทุกด้าน
ควรประสานบำเพ็ญใว้ให้จงดีฯ
โดย จักรัฐิเมธ

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน

อย่ามัวขออ้อนวอนพรพระเจ้า
อย่ามัวเขลาเฝ้าฝันกลางวันสาย
อย่ามัวเล่นเป็นเด็กไม่รู้ตาย
อย่ามัวนอนมือก่ายหน้าผากยากชีวิน
จะสำเร็จสักสิ่งที่ยิ่งใหญ่
เพียงอาศัยลิขิตฟ้าบันดาลสิ้น
คงยากแสนจะสำเร็จสมถวิล
อาจพังผินเสียท่าตำราพร
ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน
ฝึกอดทนขวานขวายตำราสอน
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นแน่นอน
ความสำเร็จคือพรย้อนตอบแทน
**วันนี้หัวใจกวีสิง..เลยแป่ะกลอนอ้างอิงจริงจากใจ**
โดย จักรัฐิเมธ

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แด่แม่ด้วยดวงใจ (12 ส.ค.2553)

คำว่า “ แม่ “
ลูกเอย…..
คำว่าแม่ คำนี้ยิ่งใหญ่ นัก
เต็มด้วยรักบริสุทธิ์ทุกความหมาย
เปี่ยมด้วยคุณล้นเหลือจะบรรยาย
ลูกจำได้ แม่..แม่ แม่ แต่เกิดมา
คำว่าแม่ คำเดียว ที่ลูกเอ่ย
จะหาใดมาเปรียบเปรยเอ่ยสรรหา
ร้อยถ้อยคำหวานซ่านซึ้งอุรา
มิถึงค่า คำว่า แม่ แท้คำเดียว
คำว่าแม่ วิเศษจริงยิ่งมนต์ขลัง
ทรงพลังปลอบขวัญยามเปล่าเปลี่ยว
ลูกโหยหาแม่ แม่จ๋า..แม่ผู้เดียว
ยามโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา..เศร้าก็จาง
คำว่าแม่ คือคำนำชีวิต
แม่อุทิศเลือดเนื้อทั่วเรือนร่าง
เพื่อสร้างลูกของแม่แม่ทนสร้าง
ให้ทุกอย่างเท่าที่มีพลีเพื่อลูก
คำว่าแม่ สัจจริงยิ่งคำสัจจ์
บรรจงจัดความรักล้วนถ้วนถูก
มิเสแสร้งแกล้งหวานให้ผันผูก
แต่กับลูกแม่คือแม่ใช่แค่คำ.......
คำว่าแม่ มิอาจแปลให้แปรเปลี่ยน
จารึกเขียนเพียรเล่าเฝ้าจดจำ
ในหทัยของลูกจะขอพร่ำ...
เอ่ยถ้อยคำสดุดีแม่นี้มิรู้ลืม.........


แด่แม่ด้วยดวงใจ..จากจักรัฐิเมธ

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทเรียนจากฝ่าเท้า

.....เริ่มบทบาทชีวิตเมื่อย่างก้าว
เรียนรู้เท้าทั้งสองที่อ่อนไหว
หกล้มบ้างคลานบ้างเมื่อเยาวัย
บ้างร้องให้พ่อแม่ปลอบกลับชอบชม
เมื่อรอยเท้าถูกสัมผัสประทับจูบ
แม่ไล้ลูปเบายามหกล้ม
เสียงจุมพิตปัดเป่าหายระทม
แล้วค่อยก้มประคองกายหมายก้าวเดิน
ก้าวที่หนึ่งสองสามมิอาจมั่น
หกล้มพลันแม่แลไวไม่ห่างเหิน
ก้าวต่อไปอย่างมั่นใจแม้เผชิญ
อาจบังเอิญหกล้มบ้างก็ช่างมัน
จึงเข้าใจบทเรียนที่แม่จูบ
บทสรูปประทับใจไม่แปรผัน
เพียงก้าวเดียวไม่พอจะมุ่งมั่น
ก้าวสู้ฝันที่ฝันใฝ่ใช่เพียงแค่ก้าวเดียว..
*จากจักรัฐิเมธ*

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อยู่เพื่ออะไร

(ถามตัวเอง..ทุกครั้งว่าอยู่เพื่ออะไร)
อยู่เพื่อรู้สร้างสรรมั่นทำดี

อยู่เพื่อมีชีวิตคิดกุศล
อยู่เพื่อสร้างแนวทางดำรงตน
อยู่เพื่อมรรคผลนิพพานสำราญใจ
มิได้อยู่เพื่อกอปรกรรมกระทำชั่ว
มิได้อยู่เพื่อมั่วเมาเขลาเลวไหล
มิได้อยู่เพื่อสักว่าได้หายใจ
มิได้อยู่เพื่ออาลัยรอวันตาย
..จักรัฐิเมธ..

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กระบี่อยู่ที่ใจ



.....มือกระบี่สะบัดฟาดวาดเพลงดาบ
ท่วงท่าทาบจอมยุทธบู๊แห่งบู๊ตึ้ง
กระโจนเหิน ล่องเวหาช่างน่าทึ่ง
ใจเป็นหนึ่งกระบี่คู่ดูพลิ้วไหว
.....ยุทธภพเจนจบประสบการณ์
ปราบเหล่ามารอันธพาลชื่อเกรียงไกร
นำสันติสุขคืนสู่โลกล้างโศกภัย
มีกระบี่อยู่ที่ใจบำบัดภัยให้มวลชน
* โดยจักรัฐิเมธ*

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มอบหัวใจ..ให้แผ่นดิน



.....สถิตหัวใจให้ยิ่งใหญ่เช่นแผ่นดิน
เสมอวารินศิลาหินเสาเขื่อนภูผา
ไม่อคติเป็นกลางท่ามกลางโลกมายา
เอื้อเฟื้อเมตตาไม่มีมารยาหลอกลวง
.....ไม่สะทกสะท้านสะเทือนไหว
สิ่งชั่วร้ายใดย่ำกล่ำกลายหายห่วง
ทั้งศรรักศรชังกระหน่ำทรวง
ไม่อาจล่วงหัวใจให้มลทิน
.....จักรัฐิเมธ......

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กระท่อมน้อย กลางไพร สายฝนพรำ



....สายฝนพรำลำนำเพลงขับ
เสนาะไพเราะจับใจน่าฟัง
กระท่อมน้อยมีหลังคามุงบัง
เมื่อฝนหลั่งรดหยดลงคงเป็นเพลง
....ดนตรีขับกล่อมไพรสนฑ์
เสียงสายฝนพรำขับบรรเลง
กระท่อมน้อยช่างดูวังเวง
แต่สายฝนไม่เกรงหลั่งริน
....เชิญเถอะ..ถ้าฝนปรารถนา
จงตกลงมาให้หมดสิ้น
กระท่อมน้อย..ไม่รวยริน
บนแผ่นดินกลางไพร..สายฝนพรำ
...จักรัฐิเมธ..

คาถา..หมดสตังค์ตั้งสติ

สตังค์หมดสติหดดูหมดท่า
สตังค์มาสติหลงดงแสงสี
เสียสติยุ่งตัณหาบ้าโลกีย์
สตังค์มีกลับหมดสลดใจ
หมดสตังค์ตั้งสติค่อยริเริ่ม
การงานเสริมสุจริตคิดตั้งใหม่
เลิกอบายมุขทุกอย่างให้ห่างไกล
ขยันไว้สตังค์หายจะได้มี
สติตั้งสตังค์ไว้ในคาถา
หัวใจข้า อุ อา กะ สะ เศรษฐี
หมั่น รักษา เสวนาแต่คนดี
ใช้ชีวีพอเพียงเลี้ยงครอบครัว
สตังค์มา สติมี ทุกที่พร้อม
สติน้อม ตั้งมั่น ไว้เหนือหัว
ใจ แน่วแน่แต่ความดีไม่หวั่นกลัว
ละเว้นชั่ว ไม่มัวหมอง ผ่องใสเอย
....จากใจ..จักรัฐิเมธ...

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฝากไว้ให้รำพึง


....ฝากไว้ให้รำพึง
เมื่อยังไม่ถึงซึ่งฝั่งฝัน
ลองมาฟังบทกวีที่รำพัน
ก่อนยืนยันก้าวต่อไป..ไม่รีรอ
....บทเส้นทางยาวไกล...ใครลิขิต
ให้ชีวิตก้าวเดินไม่ย่นย่อ
อุปสรรคขวากหนาม..ตำให้ท้อ
จะก้าวต่อหรือพอที..ว่าขี้แพ้
....อยู่ที่ใจ...ไม่มีใครเขาลิขิต
ไม่มีที่ฝากชีวิต..คนอ่อนแอ
มีแต่เศร้า เหงาผิดหวังที่ย่ำแย่
ยิ่งท้อแท้ ...มีแต่จะปราชัย
....หากเหนื่อยนัก...ก็ให้พักเอาแรงก่อน
ตะวันร้อนแสงแดดเผา..อาจหมองไหม้
หายเหนื่อยแล้ว..ค่อยก้าวเดินต่อไป
ยังอีกไกล..กว่าจะถึงซึ่งฝั่งฝัน
จากใจ..จักรัฐิเมธ

ชีวิตบนโรงศพ












.......มีกายาชีวีที่สุขสม
ในโลกแสนโสมมภิรมย์หลง
เสพกินซากสัตว์พืชหวังอยู่ยง
กลับทะนงตนว่ายิ่งใหญ่..เหนือใครเทียม
......ต้องคอยทิ้งขยะเน่าของเก่าร่าง
กายากร่างยโสโก้เต็มเปี่ยม
แค่ศพเป็นเดินได้ใครว่าเยี่ยม
กลับไม่เจียมตัวแท้..แน่จริงคน
....ฝากไว้ให้คิด..จักรัฐิเมธ

แค่ปุยฝ้าย


......เป็นดังปุยฝ้ายยามพ่ายสายลม
พัดระทวยระทมซมซานไป
ล่องลอยระริวปลิวว่อนอ่อนไหว
ระหกระเหไกล ไม่รู้จุดหมาย
......หมดแรงลมยิ่งขื่นขมระทมร่วง
เหมือนลมลวงหลอกทิ้งยิ่งแพ้พ่าย
หล่นจูบดินสิ้นค่าแค่ปุยฝ้าย
รอสลายไม่นานวันอันตรธาน
......เมื่อหมดค่าคงหมดสิ้น..ซึ่งความหมาย
ไม่อาจหลงเสียดายให้สงสาร
เช่นปุยฝ้ายสิ้นสลายค่าควรกาล
อวสานลงเอยสังเวยดิน
....จักรัฐิเมธ...

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ลำนำ..ชีวิตนี้ยังมีหวัง

ถึงคืนวันจะโศกทะเลจะคร่ำครวญ
ชีวิตยังรัญจวนโหยหาแต่ความหวัง
จะสุขหรือทุกข์เปลี่ยนแปร..ไม่จีรัง
ขอเพียงพลังกำลังใจ..ไม่ย่อท้อ
ถึงคืนจะเศร้าเหน็บหนาว..สักเพียงใด
ขาดคนเอาใจยิ้มได้ไม่เคยง้อ
ไออุ่นไอรักหวังใจได้เคลียคลอ
จากคนเฝ้ารอพอใจจะจริงจัง
ผ่านคือและวันสายลมที่เปลี่ยนแปร
กำลังใจแน่วแน่ยังหยัดยืนจีรัง
ถึงแม้คนรัก..จะหันมาเกลียดชัง
ก็ยังเฝ้าหวังคนเกลียดชังจะเข้าใจ
สายน้ำหลั่งไหล..ไม่มีวันกลับคืน
ทะเลสะอื้นซัดคลื่น..อยู่หวั่นไหว
ความรัก..ความฝันไม่มีวันเปลี่ยนไป
เฝ้าหวังวันใหม่ด้วยใจที่เกินร้อย
คงมีสักวันความฝันจะเป็นจริง
ดังใจที่อ้างอิง..ทุกสิ่งรอคอย
สำเร็จสมใจ..เส้นชัยไม่เลื่อนลอย
มีคนรอเกี้ยวก้อยร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว..
....จักรัฐิเมธ....

โลกสันติ




















โลกสงบพบสันติ ณ แดนใจ
เหนือแดนใดแผ่ไปทุกแห่งหน
มีเมตตาธรรมค้ำจุนหนุนบันดล
โลกสกลยลสงบพบร่มเย็น
โลกสงัดสลัดคราบตราบาปชั่ว
ไม่หลุ่มหลงเมามัวอำนาจเซ่น
ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ว่าตัวเป็น
จะพบเห็นโลกสันติ.. ที่ยั่งยืน
ฝากไว้ให้คิด..จักรัฐิเมธ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อภัยให้ใจของเธอ..(กวี)

"โปรดอภัยให้ใจของเธอ"
คนเหงา..คืนเหงาไร้ดาวเคียงข้าง
ใครหนออ้างว้างหัวใจเปลี่ยวเหงา
คืนเหน็บคืนหนาว ..สายลมพัดพรมเบา ๆ
ใครหนอซึมเศร้า..เคล้าคลอน้ำตา
โปรดหันมาทางนี้..ยังมีกำลังใจ
จากใจสู่ใจ มอบให้ในยามเหว่ว้า
ขอเพียงหัวใจห่วงใยชีวิตมีค่า
จะช่วยซับน้ำตา..เวลาที่มันร่วงริน
ขอได้โปรดอภัยให้ใจของเธอ
บางครั้งพลั้งเพลอแปดเปื้อนเป็นรอยมลทิน
ผ่านแล้วผ่านไปเริ่มใหม่คงไม่ราคิน
ให้มันไหลริน..สิ้นไปกับสายน้ำตา
....จักรัฐิเมธ...

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สันติ..กวี

.....น้ำอภัยใส่น้ำใจใช้น้ำคำ
ลดน้ำช้ำซับน้ำตาคร่าชีวี
เลิกอาฆาตมาดร้ายหมายย้ำยี่
เลิกราวีเข่นฆ่าประชาไทย
.....จะหวังชัยหรือพ่ายแพ้แค่ความโกรธ
สร้างพิโรธโทษกันไปถึงไหน
สุดท้ายจบชีวิตได้อะไร
ต่างบรรลัย..ที่ยิ่งใหญ่ใช่ค้ำฟ้า
ฝากไว้ให้คิด...จักรัฐิเมธ

น้ำค้าง..หิ่งห้อย..ทอแสง (แด่ทุกกำลังใจ)

หยาดน้ำค้าง พร่างมา น้ำตาริน
จากริ่วรอยมลทิน ..หัวใจของคนสิ้นหวัง
น้ำค้างกลางแดด ถูกแผดเผาให้พ่ายพัง
แต่น้ำตายังหลั่งไหลคั่งอยู่ในหัวใจ
รอแสง..ตะวัน เริ่มฝันเมื่อวันเริ่มใหม่
ลบน้ำค้างใจ..ที่หลั่งรินให้มันหยุดไหล
ชะล้างมลทิน..สนิมเกาะกินหัวใจ
ซับน้ำตาไว้..ด้วยกำลังใจที่มี
เช่นดัง หิ่งห้อยตัวน้อยที่ทอแสงฝัน
มีสายสัมพันธ์กำลังใจ..ที่ไหลล้นปรี่
เพียงไม่อ่อนแอ..ไม่ท้อแท้..นะคนดี
ขอเพียงเธอมี...กำลังใจที่ไหลเวียนวน
เห็นตะวัน..ที่เคยลาลับฟ้า
ยังกลับมาทอแสงอีกหน
ชีวิตนี้..ของเธอ..ไม่มืดมน
หากใจตน..ยังทอแสง..แข่งตะวัน
จากใจ...จักรัฐิเมธ

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ได้แต่มอง..เฝ้าดาว


"ได้แต่มอง..จ้องดูดาว" (กวี..แต่งเล่นๆ)
ดวงดาว..ระยับไกล...บนขอบฟ้าไกล
ดูลาง ลาง ไร ไร เกินใจ ..เอื้อมถึง
เหมือนดาวห่างไกล ...เกินใจคะนึง
หวังเพียงดาวดวงหนึ่ง...ที่ขอบฟ้าไกล
เอื้อมมือ..เด็ดดาวน้าวมา..เชยชม
ยิ่งเอื้อม..ยิ่งตรม..ท้อใจรู้ไหม
ดาวน้อยเจ้าลอย..หนีห่างจากไป
ยิ่งเอื้อม..ยิ่งไกล..หัวใจ..โรยแรง
ขอเพียงดาวดวงหนึ่ง..ที่ฉันเฝ้ามอง
หวังใจครอบครอง..เคียงคู่ทอแสง
เคียงใจคู่ฝัน..ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ใยดาวกลับแกล้ง..เหมือนไม่เห็นใจ
ได้โปรดเถอะดาว...อย่าร้าวต่อฉัน
มาเคียงคู่ฝัน..ฉันให้สดใส
ดาวเจ้าระยับ..บนขอบฟ้าไกล
ฉันนี้ฝันใฝ่...จริงใจนะดาว....
จากใจ..จักรัฐิเมธ

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อย่าทิ้ง..รังฝัน

















อย่าทิ้ง..รังฝัน (บทกวี)
เจ้านกน้อยเอย บินจากไปไกล
เจ้าไปแห่งไหน ทำไม่จึงไม่กลับรัง
หวนคืนสู่ถิ่น กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
ร่วมสร้างรังฝัน..เหมือนวันที่เคยคู่เคียง
รังฝัน..ที่สร้าง คงร้างอ้างว้างเงียบเหงา
ไร้แม้เงาของเจ้าที่เคยส่งเสียง
เจ้าคงหดหู่ เมื่อรู้ไม่มีคู่เคียง
ทิ้งไว้แต่เพียง..รังร้าง..บินห่างจากไป
เหมือนรังใชฝันร้าง..โดนทิ้งเพราะว่าคนท้อ
น้ำตาคลอ..เพราะศรรักหักเสียบคาใจ
หนาวรวดร้าว..เจ็บปวดเมื่อรักจากไกล
จะช้ำเพียงใด..เมื่อใจเอาแต่ท้อตรม
อย่าทิ้งรัง..ฝันรังสรรค์ที่เธอสรรสร้าง
ปล่อยให้อ้างว้างเดี่ยวดาย..สุดจะขื่นขม
ขอเพียงเริ่มใหม่สานฝันที่เคยระทม
หัวใจเคยล่มท้อตรมไม่ล่มสลาย..
จากใจ..จักรัฐิเมธ

อย่าท้อ "หัวใจและหยาดน้ำตาที่เธอมี"

"อย่าท้อ..หัวใจและหยาดน้ำตาที่เธอมี"
หัวใจ และหยาดน้ำตา..ที่เธอมี
ธรณีชีวิตนี้..ไม่สิ้นหวัง
ถึงหยาดฟ้ามาดิน..สิ้นโรยดัง
หมดความหวัง..กำลังใจใช่รานรอน
นับวัน.. นับปี..นับเดือน ที่เลื่อนผ่าน
สายธาร สายลม ตรมอาวร
ทิวากร..จรจากไปใช่ลาก่อน
เพียงอ้อนวอน..ให้อยู่สู้ต่อไป....
กำลังใจเป็นสำคัญ...นั่นมีอยู่
ลงขึ้นสู้อีกใหม่..ไม่เป็นไร
อดทน..อีกสักหน่อย..ขอได้ไหม
ยิ้มเข้าไว้..นะคนดี..จะมีชัย
ล้มแล้วลุก..แม้คลุกคล้าน..อาจหาญหน่อย
อีกเล็กน้อย..ต้องไม่แพ้..อย้าท้อใจ
ยังมีหวัง...ยังมีทาง..ยังอีกไกล
สู้เข้าไว้...อย่าอ่อนแอ..แพ้ไม่เป็น
ความสำเร็จ..ความสมหวังจะตามมา
เป็นรางวัล..แด่ผู้กล้าจะได้เห็น..
ถึงตอนนั้น..แม้น้ำตา..พารำเค็ญ
จะไม่เหลือ..ให้กระเซ็น..เห็นอีกเลย..
จากใจ..จักรัฐิเมธ

ปรัชญากวี

"คนที่ทำให้เสียใจมากที่สุด..ที่แท้ไม่ใช่ใคร คือตัวเราเอง"
ถ้าหากไม่มีเขา...
คงไม่มีเราในวันนี้
เขาคือความภูมิใจที่เรามี
เขาคือสิ่งที่เราต้องการ
เขาคือความหวังทั้งมวล
เขาคือจุดชนวนพลังมหาศาล
เขาคือชีวิต..คือลมปราณ
เขาคือสายธารกำลังใจ
เพราะเขาเราจึงสุข
เพราะเขาเราจึงทุกข์..แค่ไหน
เพราะเขาเราจึงกล้ำกลื่น..ร่ำให้
เพราะเขา เราถึงตัดใจไม่ลง..สักที
โดย..จักรัฐิเมธ