ค้นหาข้อมูลทั่วโลก

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นกน้อยนักสู้ชีวิต (กลอนกวี)

ถึงนกน้อย ปล่อยทิ้งรัง รั้งสร้างใหม่
มิย่อท้อ หัวใจ อาลัยฝัง
กับรังเก่า เนารกร้าง ห่างคู่ฟัง
แจ้วเสียงดัง แต่วังเวงแผ่ว แป้วหัวใจ
จึงส่งเสียง เจือยแจ้ว แอ่วหาคู่
แม่โฉมตรู กู่ขับขาน หวานที่ไหน
มารวมผิง อิงแอบ แนบอุ่นไอ
ในรังใหม่ ไว้ร่วมฝัน กันสองเรา
จงลืมเศร้า เคล้าคลอทุกข์ คลุกในอก
ลืมนรก ความหลัง พังพ่ายเศร้า
เหมือนนกน้อย บินจากรัง ทิ้งรังเนา
โบยบินเคล้า คลอนภา สู้ฟ้าฝัน
สายลมพลิ้ว หวิวไหว ให้หวั่นหวาด
แต่นกน้อย ฉกาจผงาด มิหวาดหวั่น
ปีกน้อยน้อย ค่อยค่อยแผ่ ลู่ลมลั่น
โผนผ่อนผัน ต้องตามลม ล่องระเริง
เหมือนดังเจอ มรสุม รุมทำลาย
หรือแพ้พ่าย ขวัญหวั่นหนี ลี้กระเจิง
จึงควรอาจหาญกล้า หาชั้นเชิง
เล่นระเริง โลมหลอกล่อ พอประมาณ
ค่อยคิดการ ทานกระแส อย่าแพ้พ่าย
ด้วยแรงกาย ใจสู้ กู้อาจหาญ
มีอุปสรรค ขวากหนาม กลางกั้นกราน
ไร้เทียมทาน หากฟันฝ่า..กล้าเผชิญ.
<จักรัฐิเมธ>

อย่าท้อใจ..(กลอนกวี)

อย่าได้ท้อ...เมื่อใจรู้สึกท้อ
อย่าได้ง้อ...แค่สิ่งที่ผิดหวัง
อย่าร้องให้...สงสารใจที่พ่ายพัง
อย่ามัวนั่ง....เศร้าใจได้อะไร...
อย่ามัวโกรธ...โทษตัวเองที่หลงผิด
ควรเปลี่ยนทิศ...ทางเดินแล้วเริ่มใหม่
สิ่งไม่ดี..เลวร้าย ..ให้หายไป
ควรอภัย...ให้ใจอย่าซ้ำเติม..
เจ็บคือเจ็บยอมรับว่าควรเจ็บ..
แต่ควรเก็บเป็นบทเรียนตำราเสริม
อย่าผิดพลาดพลั้งอีกครั้งซ้ำรอยเดิม
แต่ควรเพิ่ม...เสริมกำลังใจ..อย่าได้ท้อ...
<จักรัฐิเม>

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฤดูใบไม้ร่วง

ใบไม้เริ่มแห้งกรัง
กำลังจะโรยร่วง
สลัดขั้วอย่างหมดห่วง
แล้วค่อยร่วงสู่พื้นดิน
ใบแล้วและใบเล่า
ทิ้งก้านเก่าจนหมดสิ้น
เหลือเพียงต้นกิ่งอยู่รวยริน
รอพังภินท์ล้มสิ้นตาม
บางต้นยืนทนสู้..
ผ่านฤดู..เพื่องอกงาม
ผลิใบใหม่..น่าเกรงขาม
กลับงดงามยิ่งกว่าเดิม..
<จักรัฐิเมธ>

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฟ้าหลังฝน

เมฆดำระบายสี
โปรยวารีจากธารฟ้า
รินหลั่งรดพสุธา
มอบชีวาชุบชีวี
ที่เหี่ยวเฉาเฝ้ารอน้ำ
กลับเย็นช่ำชื่นวารี
บางร้องเล่นดนตรี
สุขฤดีตามประสา..
ฝนตกหนัก..อยู่พักใหญ่
ฟ้าสดใส..ค่อยเปลี่ยนมา
สายรุ้งวาดผ่านฟ้า
สะดุดตาคราได้ยล
เขียนภาพฝันเนรมิต
ช่างประดิษฐ์ฟ้าหลังฝน
คลายความเหงาเศร้ากมล
พัดผ่านพ้นหลังฝนพรำ...
<จักรัฐิเมธ>

Don' t Cry (อย่าร้องให้)



ห้วงเหวลึกดูน่ากลัวสักเพียงใด
ป่าช้าความตายทิ้งซากไว้ให้ดูน่ากลัว
ในถ้ำมืดมิดที่ไร้แม้แสงสลัว
แต่ใจคนที่มืดมัว....คงยิ่งน่ากลัวกว่านั้น
เหมือนใจใครสักคน...สับสน..หนทาง
โดดเดี่ยวอ้างว้าง..หัวใจไหวหวั่น
เหมือนดิ่งลงเหว..ตกขุมนรกโลกันต์
อยู่อย่างหนาวสั่น..ในคืนที่วันมืดมัว
อยากบอกกับใจใคร..คนนั้น
จงลืมวัน..อันแสนโหดร้ายน่ากลัว
อย่าร้องให้...ทำร้ายจิตใจเกินตัว
จงฝ่าวันสลัว..เมฆหมอกหนาว..ถึงคราวก็จาง..
<จักรัฐิเมธ..>

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มอบแด่ทุกแรงใจ

<แรงใจ..แรงสู้>
เพราะมีแรงใจ ทำให้จึงมีแรงสู้
เพราะมีเธออยู่ จึงรู้ว่ามีแรงใจ
เพราะมีรอยยิ้ม เติมอิ่ม จากคนห่วงใย
คอยซับเหงื่อไหล ส่งใจ ส่งยิ้มคอยเชียร์
จากคนที่ไม่เคยสู้...ยอมแพ้ศัตรูง่ายง่าย
หมดสิ้นเชิงชาย น่าอาย เมื่อใจสูญเสีย
ต่อเมื่อมี..เธอรักษาหัวใจอ่อนเพลีย
เติมแรงคอยเชียร์ ใส่เกียร์หัวใจให้แรง
<จักรัฐิเมธ>

มึงและกู..สุดท้ายไม่มีกูและมึง (กวีชีวิต)

ยังมีดวงตาที่ฟ่าฟาง
ยังมีหัวใจอ้างว้างในโลกเหงา
ยังมีใบหน้าที่ซึมเศร้า
น้ำตาคลอเบ้า..อยู่เดียวดาย..
ยังมีชีวิตที่อาภัพ
สะดุ้งยามหลับ..พิการกาย
ยังมีความหิว...แสนกระหาย
ยังมีความตาย...มาเยือนทุกวี่วัน
ยังมีนรก...ในโลกแสนโสมม
ต่างชอบข่มเหงรังแกเข่นฆ่ากัน
ชอบมัวเมาอบายมุข..การพนัน
ต่างเพ้อรำพัน....ว่าของกู..ของกู..
ตัวกู..ของกู ใช่ของมึง
มึงอย่ามา..รำพึง..กูไม่รู้
เวลามึงตายกูรู้อยู่
ทั้งมึงและกู...สุดท้ายไม่มีกูและมึง..(จบ)
<จักรัฐิเมธ>

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปลายฝนต้นหนาว


สายลมเริ่มพัดแรง แสงแดดจางเคล้าเมฆฝน
ลมหนาวพัดเวียนวน ผ่านหน้าต่างอย่างตั้งใจ
ผ้าห่มผืนน้อยคลี่คลุ่มร่าง รอสว่าง..อยู่หวั่นไหว
นี้ใกล้ถึงฤดูหนาวร้าวหัวใจ..จะฝ่าไปอีกสักที..
(จักรัฐิเมธ)

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เหตุแห่งรัก 2 ประการ


อันความรักประจักษ์เหตุสองประการ
หนึ่งวันวานปางก่อนเคยผูกรัก
สองปัจจุบันเกื้อหนุนกันเฝ้าฟูมฟัก
ปลูกต้นรักออกดอกบานสานสัมพันธ์
เช่นดอกบัวช่องามยามกำเนิด
เพราะอาศัยแดนเกิด สองคู่มั่น
คือหนึ่งน้ำ สองโคนตมบรรจบกัน
สานสัมพันธ์ก่อกำเนิดเกิดดอกบัว....
<จักรัฐิเมธ.>